บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อนุบาลศึกษา[03]

ในบทความ “อนุบาลศึกษา[01,02]” ผมได้อธิบายเทคนิคการสอนไปหลายประการแล้ว และได้นำวิดิโอที่ถ่ายทำไว้นำเสนอด้วย

วันนี้ จะอธิบายเรื่องราวสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ขอให้ดูวิดิโอการสอนที่โรงเรียนบ้านวังเป็ด ต. บางระกำ อ. บางระกำ จ. พิษณุโลกก่อน ดังนี้


รูปแสดงฐานทั้ง 7 ที่เห็นในโน้ตบุ้ค คือ ภาพที่ผมนำดวงวางไปตามฐานที่ 1, 2, 3 และ 7 และให้เด็กอนุบาลนึกตามไป ในขณะที่ใช้ตามองไปด้วย  เด็กอนุบาลก็จะเห็นดวงธรรมในท้องของเขาได้เลย

สิ่งที่ผมทำไม่เหมือนกับวิทยากรรุ่นพี่ของผมก็คือ ผมไม่ได้อธิบายว่า แขนซ้าย แขนขวาคือ แขนใด จมูกซ้าย จมูกขวาคือ จมูกไหน ตาซ้าย ตาขวาคือตาไหน

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมเด็กเห็นดวงธรรมและกายธรรมได้  ปัญหาอีกข้อหนึ่งก็คือ ถ้าสอนให้เด็กนำดวงใสเข้าผิดทาง คือ ผู้ชายให้เข้าจมูกซ้าย แต่ผู้หญิงให้เข้าจมูกขวา อะไรจะเกิดขึ้น

ตอบปัญหาข้อที่สองก่อน

ถ้าวิทยากรสอนผิด คือ บอกให้นักเรียนชายให้นำดวงใสเข้าจมูกซ้าย แต่นักเรียนหญิงให้เข้าจมูกขวา ผลที่เกิดกับนักเรียนก็คือ “มืดสนิท” ไม่เห็นอะไร เพราะ สอนผิด

ผลที่เกิดกับตัววิทยากรก็คือ จะโดนธาตุธรรมตำหนิ เพราะ ทำให้มรรผลนิพพานของนักเรียนเนิ่นช้าออกไป  ถ้าผิดมากๆ แบบแก้ไม่ได้ ก็จะถูกถอดถอนจากการเป็นวิทยากร

สำหรับคำถามที่ว่า “ทำไมเด็กเห็นดวงธรรมและกายธรรมได้” ทั้งๆ ที่ไม่ได้อธิบายไว้ก่อน แต่สอนไปเลย

ผลการศึกษาที่ผมค้นพบมาก็คือ “เด็กอนุบาลเข้ารู้โดยธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว” ไม่ต้องไปสอนว่า ตาซ้ายตาไหน ตาขวาตาไหน จมูกซ้าย จมูกขวาอันไหน ทำให้เสียเวลาการสอนไปโดยใช่เหตุ

ขออธิบายการมาเกิดของใจ/จิต/วิญญาณโดยสายวิชาธรรมกายเสียก่อน ดังนี้

เมื่อดวงวิญญาณ/จิต/ใจจะมาเกิดนั้น ไม่ว่าจะมาจากสุคติภูมิหรืออบายภูมิ ดวงวิญญาณ/จิต/ใจจะไปเข้าจมูกขวาของพ่อ ไปตามฐานและไปอยู่ที่ฐานที่ 7 ของพ่อประมาณ 7 วัน

ภายใน 7 วันนี้ ไอ้เจ้าดวงวิญญาณ/จิต/ใจที่จะมาเกิดนั้น ก็ต้องบังคับใจของพ่อให้ไปหาแม่ เพื่อประกอบกิจกัน 

เมื่อประกอบกิจกันนั้น ดวงวิญญาณ/จิต/ใจของพ่อ-แม่-ลูกจะรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วดวงวิญญาณ/จิต/ใจที่จะมาเกิดก็จะออกจากฐานที่ 7 ของพ่อออกมาถึงฐานที่ 1 แล้วเข้าจมูกซ้ายของแม่ แล้วก็ไปอยู่มดลูกของแม่

ดังนั้น เด็กอนุบาลเขายังรู้จักซ้ายขวาของเขาอยู่  จึงไม่ต้องอธิบายให้ยุ่งยากและเสียเวลา

โดยสรุป

นี่คือ เทคนิคการสอนเด็กนักเรียนอนุบาลที่ผมคิดค้นขึ้นมาได้จากประสบการณ์การสอน  ใครสนใจจะนำไปใช้ก็ไม่ขัดอันใด

ถ้าไปใช้แล้ว มีข้อดี ข้อด้อยประการใด ก็ช่วยเขียนมาบอกด้วย เพื่อเป็นธรรมทานต่อไป 




อนุบาลศึกษา[02]

ในบทความ “อนุบาลศึกษา[01]” ผมได้บอกไปแล้วว่า ในการสอนเด็กนักเรียนนั้น จะต้องจัดให้นักเรียนนั่งเป็นแถว และห่างกันพอสมควร

วัตถุประสงค์ประการแรกก็คือ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม ประการที่สอง สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าเด็กนั่งใกล้กัน เด็กมันจะคุยกันหรือเล่นกัน

เพราะ เด็กในวัยนี้ เห็นดวงธรรมและเห็นกายธรรมเร็วมาก  ในขณะที่เห็นดวงธรรมและเห็นกายธรรมนั้น เด็กสามารถเล่นกัน แหย่กัน และคุยกันได้

อย่างไรก็ดี การที่จะจัดให้เด็กอนุบาลให้เป็นแถวๆ ห่างกันนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร และในการไปสอนของผมนั้น  มีเวลาไม่มากนัก 


ดังนั้น เฉพาะเด็กอนุบาลที่ผมสอน ผมจะให้นั่งอย่างไรก็ได้ เพราะ อย่างไงก็ตาม เด็กกลุ่มนี้เห็นดวงธรรมและกายธรรมง่ายมาก และใช้เวลาไม่นาน

ขอให้ดูตัวอย่างการสอนที่โรงเรียนบ้านหนองตากร้า อ. เมือง จ. ร้อยเอ็ด ซึ่งผมไปสอนมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555


จากวิดิโอดังกล่าว ผมขออธิบายเทคนิคการสอนเป็นข้อๆ ดังนี้

1) ต้องให้นักเรียนดูการ์ตูนก่อน ถ้ามีเวลาเหลือก็ให้ดูหลังจากการฝึกด้วย เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจ เด็กจะฝึกปฏิบัติธรรมด้วยความสุข

เมื่อผมไปสอนครั้งต่อไป เมื่อเด็กนักเรียนเห็นรถของผมเข้าไปในโรงเรียน เด็กจะวิ่งมาต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะ อยากดูการ์ตูน ไม่ได้อยากนั่งสมาธิ

2) ในการสอนนั้น ผมจะให้เด็กลืมตาดูการนำดวงแก้วไปตามฐานที่ 1, 2, 3 และ 7 เมื่อเห็นดวงใสในท้องแล้ว จึงค่อยหลับตา และทำวิชาต่อไปให้เห็นกายธรรม

ผมได้วิธีนี้มาจากไหน
ผมได้จากมาจากการสังเกต ในการสอนวิชาธรรมกายนั้น จะต้อง “สั่งวิชา” ให้ผู้เรียนทำตาม และจะต้องมีการถามความก้าวหน้าเป็นระยะๆ ไป

ในการไปสอนในหลายๆ โรงเรียน เมื่อถามว่า ใครเห็นดวงใสแล้ว เด็กไม่ยกมือ ทำให้เราต้องลำบากในการจะตรวจสอบว่า นักเรียนเห็นดวงธรรมหรือยัง

ดังนั้น ในการสอนของผม ผมจะอธิบายโดยการนำดวงแก้วไปตามฐาน  เมื่อถึงเวลาจะสอนจริงๆ ผมก็ตกลงกับเด็กนักเรียนว่า

เดี๋ยวตอนสอน ถ้าครูถามใครว่า ใครเห็นดวงใสในท้องแล้ว ให้ยกมือขึ้น นักเรียนต้องยกมือนะ เดี๋ยวครูสอนไม่ถูก

ปรากฏว่า มีเด็กนักเรียนอนุบาลกับ ป. 1 ยกมือขึ้นมา  ผมจึงรู้ว่า แค่การนำเอาดวงใสไปวางตามฐานของใจนั้น เด็กนักเรียนทำตามไปด้วย และเห็นดวงใสในท้องแล้ว

เมื่อแรกๆ เด็กอนุบาลจะเห็น แล้วต่อมาก็ ป. 1  เดี๋ยวนี้ การนำดวงใสไปวางตามฐานต่างๆ นั้น เด็ก ป. 6 ก็เห็นดวงใสในท้องได้แล้ว

3) การสั่งวิชาให้เห็นกายธรรมนั้น ต้องทำโดยทันทีทันใด เมื่อนักเรียนเห็นดวงปฐมมรรคแล้ว ไม่อย่างนั้น มารจะเข้ามาแทรกซ้อน

จะเห็นได้ว่า นักเรียนอนุบาลเห็นดวงธรรมและกายธรรมเร็วมาก

อย่างไรก็ดี เด็กอนุบาลนั้น การเห็นดวงธรรมกับกายธรรมของเขา เหมือนกับ “ไก่ได้พลอย” คือ เขาไม่รู้คุณค่าของดวงธรรมกับกายธรรม

ผู้ใหญ่ฝึกกันเป็นสิบๆ ปี ไม่เห็น แต่เด็กเหล่านี้ สอนปุ๊บก็เห็นปั้บ 

ในเมื่อเหมือนกับ “ไก่ได้พลอย” แล้วสอนไปทำไม

การสอนนี้ เพื่อเป็นการสร้าง “รอยใจ” ของวิชาธรรมกายให้กับเด็กอนุบาล ต่อไปข้างหน้าเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  และต้องการมาปฏิบัติธรรมอีก เขาจะเห็นดวงธรรมได้ง่าย

ไม่สอนยากสอนเย็นเหมือนกับผู้ใหญ่ในยุคนี้ ซึ่งไม่เคยฝึกมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก..... 




อนุบาลศึกษา[01]

เด็กระดับอนุบาลเป็นระดับที่สอนง่ายที่สุด เห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมได้ง่ายที่สุด เป็นระดับที่ผมชอบสอนมากที่สุด

ขอเล่าประสบการณ์การสอน ก่อนที่ผมจะพัฒนาเทคนิคการสอนเป็นของผมเอง ดังที่จะได้นำเสนอต่อไป เพื่อบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ สำหรับวิทยากรรุ่นหลังๆ

ในการเป็นวิทยากรของคุณลุงนั้น มีกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นวิชาการ กล่าวอย่างในแวดวงวิชาการก็ว่า วิชาธรรมกายเป็นสาขาวิชา (discipline) ที่สามารถจัดการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาได้

ณ ที่นี้จะขออธิบายกระบวนการที่จะเป็นครูผู้สอนวิชาธรรมกาย

ก่อนอื่นเราต้องท่องวิชา 18 กายให้ได้ เนื้อหาเฉพาะคำท่องสอบมีความยาวประมาณ 24 หน้ากระดาษ A4 ไม่รวมถึงคำอธิบายเนื้อหาคำท่อง ซึ่งต้องเขียนเป็นหนังสือเป็นเล่มเลยทีเดียว

เมื่อท่องได้ก็ไปสอบ ถ้าสอบผ่าน บุคคลคนนั้น ก็สามารถสอนให้ผู้เรียนเห็นดวงธรรมและกายธรรมได้ทุกคน 

ขอย้ำว่า ใครก็ตามที่สอบวิชา 18 กายผ่าน บุคคลผู้นั้น ไม่ต้องเหาะเหินเดินอากาศได้ ไม่ต้องมีประวัติว่า เป็นคนมีโคตรบุญมาเกิดก็สามารถสอนให้คนเห็นดวงธรรมกับกายธรรมได้แล้ว

ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับครูยุคใหม่ ที่ต้องการใบประกอบวิชาชีพครู คือ ความรู้มีอยู่แล้ว แต่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพด้วย

วิทยากรของวิชาธรรมกายก็เช่นเดียวกัน ทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับวิชาธรรมกายดีพอสมควรแล้ว แต่ก็ต้องไปสอบเป็นวิทยากรให้ได้ ถึงจะออกไปสอนคนอื่นๆ ได้

สำหรับที่ว่าจะสอนเก่ง ไม่เก่ง สอนได้เฉียบคม กล่าวคือ สอนได้ร้อยละ 100 หรือสอนได้ถึงขั้นไหน ระดับไหน ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลของวิทยากรผู้นั้น

คุณลุงการุณย์กล่าวว่า “ขึ้นอยู่กับประสบการณ์”

กล่าวคือ หลังจากสอบผ่านไปแล้ว ไปสอนบ่อยแค่ไหน หัวใจเต็มร้อยขนาดไหน มีวิทยากรรุ่นพี่ช่วยแนะนำบ้างไหม 

ประสบการณ์ของผมเอง ค่อนข้างโชคดีคือ ได้วิทยากรรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์แนะนำ คือ อาจารย์กรณ์ไพบูลย์และอาจารย์พิมวรัตน์ เป็นผู้ให้คำแนะนำ 

ผมสอนอยู่กับท่านทั้งสองนี้ หลายปี ตั้งแต่ก่อนสอบ สอบผ่าน และกลับไปทำงานแล้ว [ผมไปศึกษากับคุณลุงตอนผมลาศึกษาต่อระดับปริญญาเอก]

ในตอนที่ฝึกสอนอยู่กับวิทยากรรุ่นพี่ที่กล่าวมาแล้วนั้น ในการสอนระดับอนุบาล วิทยากรจะจัดให้เด็กนั่งเป็นแถวๆ อยู่ห่างกัน ดังภาพ


ผมยืนอยู่ทางขวามือของภาพ

ก่อนการสอน วิทยากรก็จะบอกให้เด็กนักเรียนรู้จักฐานของใจทั้ง 7 ฐาน  แล้วก็สอนไป  ส่วนมากในระดับอนุบาล วิทยากรรุ่นพี่ก็จะสอนแค่หลักสูตร 1 ดวงธรรม 1 กายธรรม

ผลการสอนก็จะได้ 100 %  เด็กอนุบาลจะเห็นดวงธรรม กายธรรมร้อยละ 100

เมื่อผมกลับไปทำหน้าที่สอน หลังจากจบปริญญาเอกแล้ว ผมต้องออกไปสอนแบบบินเดี่ยว เพราะ ตอนอยู่กรุงเทพฯ วิทยากรจะไปสอนเป็นคณะ มีวิทยากรเอก วิทยากรโท และวิทยากรตรี  แต่เมื่ออยู่คนเดียวก็ต้องทำหน้าที่เองทั้งหมด

การสอนเด็กอนุบาลในต่างจังหวัดจะไม่เหมือนกับในกรุงเทพฯ ยกตัวอย่างเช่น ในตอนเปิดเรียนใหม่ๆ เด็กอนุบาลจะติดพี่ พี่อยู่ห้องไหน เขาก็จะอยู่ห้องนั้นด้วย  จับแยกไม่ได้ พวกร้องบ้านแตก โรงเรียนแตก
ในการสอนเด็กชั้น ป. 1 - 6 จึงจะมีเด็กอนุบาลพวกนี้ปนอยู่ด้วย  ผมไม่ได้เน้นการสอนเด็กอนุบาล เน้นสอนเด็กโตๆ แต่เด็กอนุบาลก็เห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมไปกับพี่ๆ เขาด้วย

มีครั้งหนึ่ง ผมสอนหลักสูตรขอรัตนะเจ็ดให้เด็ก ป. 6  เด็กอนุบาลคนหนึ่งติดพี่ไม่ยอมไปไหน ก็นั่งอยู่ด้วย  เด็กคนนี้ก็ได้รัตนะเจ็ดไปกับพี่เขาด้วย

ดังนั้น ผมจึงพัฒนาการสอนเด็กอนุบาลได้ใหม่ เป็นของผมเอง ได้ผลชัดเจน ไม่เสียเวลา ซึ่งจะได้กล่าวถึงในบทความต่อไป....